เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views 1998

2025-04-11 18:00

(กูรูเช็ค)รวมสายพันธุ์โพรไบโอติก: โอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการผลิตอาหารเสริมในไทย

กูรูเช็ค

การใช้โพรไบโอติกในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในปัจจุบันมีเพิ่มขึ้น เนื่องจากกคนหันมาสนใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ดังนั้นเพื่อให้การใช้โพรไบโอติกในอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม และปลอดภัยต่อการบริโภค ตามประกาศของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข กูรูเช็คเลยอยากนำเสนอข้อมูลอีกแง่สำหรับผู้ประกอบการเกี่ยวกับการเลือกผลิตอาหารเสริมโพรไบโอติกแต่ละสายพันธุ์ ว่าเหมาะกับการดูแลสุขภาพในด้านไหน รวมถึงแนะนำเกี่ยวกับข้อมูลว่าสายพันธุ์ที่ อย. บ้านเราอนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม วันนี้กูรูเช็ครวมแต่ละสายพันธุ์มาให้สำหรับผู้ประกอบการ ดังนี้

สายพันธุ์โพรไบโอติกที่ใช้ในอาหารเสริม

1. Lactobacillus spp. (แลคโตบาซิลลัส)

Lactobacillus spp. เป็นกลุ่มแบคทีเรียกรัมบวกที่มีบทบาทสำคัญในอาหารเสริมและสุขภาพทางเดินอาหาร โดยมีคุณสมบัติเด่น กลไกการออกฤทธิ์ และข้อดี-ข้อเสียดังนี้:
คุณสมบัติเด่นของ Lactobacillus spp.
1. การผลิตกรดแลคติก: Lactobacillus spp. ผลิตกรดแลคติกซึ่งช่วยลดค่า pH ในลำไส้ ทำให้ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
2. การสร้างสารต้านจุลชีพ: หลายสายพันธุ์ เช่น Lactobacillus plantarum และ Lactobacillus salivarius สามารถผลิตสารแบคทีริโอซินที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียก่อโรค เช่น Listeria monocytogenes
3. ความสามารถในการยึดเกาะเซลล์ลำไส้: สายพันธุ์บางชนิด เช่น Lactobacillus pentosus GP6 มีความสามารถสูงในการยึดเกาะเซลล์ลำไส้ ช่วยป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้

ตัวอย่างสายพันธุ์และประโยชน์
1. Lactobacillus acidophilus
จุดเด่น: เพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้และผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) เช่น บิวเทรต ซึ่งส่งเสริมสุขภาพลำไส้
ข้อดี: ลดอาการท้องเสีย รักษาสมดุลจุลินทรีย์ในช่องคลอด และเสริมภูมิคุ้มกัน
ข้อเสีย: ไม่แสดงฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่เด่นชัดเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น
2. Lactobacillus rhamnosus
จุดเด่น: มีฤทธิ์ลดการอักเสบโดยลดการหลั่งไซโตไคน์ เช่น TNF-α, IL-6 และ IL-8
ข้อดี: บรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) ป้องกันอาการท้องเสียจากการเดินทาง และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ข้อเสีย: ต้องบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน
3. Lactobacillus plantarum
จุดเด่น: ผลิตแบคทีริโอซินที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อโรค เช่น Listeria monocytogenes และช่วยลดการติดเชื้อในลำไส้
ข้อดี: ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เสริมสุขภาพหัวใจ และเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกัน
ข้อเสีย: อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
4. Lactobacillus pentosus GP6
จุดเด่น: ทนต่อกรดและน้ำดี มีความสามารถในการยึดเกาะเซลล์สูง และช่วยลดการยึดเกาะของเชื้อโรคในลำไส้
ข้อดี: ต้านเชื้อโรคในทางเดินอาหาร เช่น E. coli, Salmonella Typhimurium, และ Shigella sonnei
ข้อเสีย: ยังต้องศึกษาผลกระทบระยะยาวต่อระบบภูมิคุ้มกัน

กลไกการออกฤทธิ์ในร่างกาย
1. ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiota): เพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดี เช่น Bifidobacterium และลดแบคทีเรียก่อโรค
2. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน (Immune Modulation): กระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น macrophages และ NK cells เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดเชื้อโรค
3. ผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFAs): SCFAs เช่น acetate, propionate, และ butyrate ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้และลดการอักเสบ
4. สร้างสารต้านจุลชีพ (Antimicrobial Substances): ผลิตสารแบคทีริโอซิน กรดอินทรีย์ และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพื่อยับยั้งเชื้อโรค  

เหมาะกับอาหารเสริมแบบไหน 
1. ผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพทางเดินอาหาร:
- Lactobacillus acidophilus และ Lactobacillus rhamnosus มีประสิทธิภาพในการลดอาการท้องเสียจากยาปฏิชีวนะและโรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
- เหมาะสำหรับแคปซูลหรือผงที่มีการเคลือบป้องกันกรด เพื่อให้แบคทีเรียรอดถึงลำไส้
2. ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกันและต้านการอักเสบ:
- สายพันธุ์ เช่น Lactobacillus fermentum และ Lactobacillus johnsonii ช่วยกระตุ้นการสร้าง IgA และลดการอักเสบ
- ใช้ในรูปแบบอาหารเสริมร่วมกับพรีไบโอติกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
3. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนัง
- สายพันธุ์ เช่น Lactobacillus acidophilus และ Lactobacillus bulgaricus มีรายงานว่าสามารถต้านการอักเสบ พบว่า 80% ทานแล้วสิวอักเสบดีขึ้น (อ้างอิง)
- Lactobacillus plantarum HY7714 สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เพิ่มระดับเซราไมด์โดยเพิ่มการแสดงออกระดับยีนบน mRNA ของ SERINE palmitoyltransferase(spt) และลดการแสดงออกบน mrna ของ ceramidase ที่จะเป็นเอนไซม์ที่ช่วยเปลี่ยน ceramide ไปเป็น sphingosine (อ้างอิง)
- Lactobacillus plantarum HY7714 มีการสูญเสียความชื้นของผิวหนังลดลง ริ้วรอยลดลง และผิวมีความมันวาวและความยืดหยุ่นมากขึ้น (อ้างอิง)
4. ผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพผู้หญิง:
- Lactobacillus acidophilus มีบทบาทในการป้องกันและรักษาโรคในช่องคลอด เช่น แบคทีเรียวาจิโนซิส
เหมาะสำหรับแคปซูลหรือผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น เจลหรือเม็ดสำหรับใช้ในช่องคลอด
5. ผลิตภัณฑ์ดูแลสมอง ช่วยในการนอนหลับ:
- lactobacillus gasseri cp2305 สามารถช่วยลดและควบคุมการตอบสนองต่อความเครียด ทำให้คุณภาพพการนอนหลับดีขึ้น (อ้างอิง)
ข้อควรระวังในการผลิต
1. การเลือกสายพันธุ์
- ต้องเลือกสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย เช่น GRAS (Generally Recognized as Safe) หรือ QPS (Qualified Presumption of Safety)
ตัวอย่างสายพันธุ์ที่นิยม:
- L. acidophilus: ลดคอเลสเตอรอลและเสริมภูมิคุ้มกัน
- L. rhamnosus: บรรเทา IBS และภูมิแพ้
2. การควบคุมกระบวนการผลิต
- การหมัก: ควบคุมค่า pH (4.0-6.5) และอุณหภูมิ (30-37°C) เพื่อให้ได้เซลล์แบคทีเรียที่มีชีวิตสูงสุด
- การทำให้แห้ง: ใช้เทคโนโลยี Freeze-Drying หรือ Spray Drying เพื่อรักษาความมีชีวิตของแบคทีเรีย
- การป้องกันการปนเปื้อน: ตรวจสอบเชื้อก่อโรค เช่น Salmonella และ E. coli ตามมาตรฐาน GMP และ HACCP
3. การรักษาความมีชีวิตของแบคทีเรีย
- ระบุจำนวนเซลล์ที่มีชีวิตขั้นต่ำที่ปลายอายุผลิตภัณฑ์ (≥ 106CFU/หน่วยบริโภค)
- ใช้สารพรีไบโอติก เช่น อินูลิน เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร
4. การเก็บรักษา
- เก็บในที่แห้งและเย็น (2-8°C) สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการเคลือบป้องกันความชื้น
- หลีกเลี่ยงแสงและออกซิเจนซึ่งส่งผลต่อความมีชีวิตของเซลล์

ข้อควรระวัง
1. กลุ่มผู้บริโภคเสี่ยง: ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ใช้ยาเคมีบำบัด อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด แม้จะเกิดขึ้นน้อยมาก (<1 ในล้านคน)
2. ผลข้างเคียง: อาจทำให้เกิดแก๊สหรือท้องอืดในช่วงแรกของการบริโภค โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบทางเดินอาหารไวต่อสิ่งกระตุ้น
3. การปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย:ควรตรวจสอบคุณภาพทุกขั้นตอน ตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนและรักษาประสิทธิภาพของแบคทีเรีย

สายพันธุ์ Lactobacillus spp. ที่สามารถใช้ได้ในไทย
1. แล็กโทบาซิลลัส คริสปาทัส (Lactobacillus crispatus)
2. แล็กโทบาซิลลัส แก็สเซอรี (Lactobacillus gasseri)
3. แล็กโทบาซิลลัส จอห์นโซนอิ (Lactobacillus johnsonii)
4. แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ (Lactobacillus paracasei)
5. แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี (Lactobacillus reuteri)
6. แล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส (Lactobacillus rhamnosus)
7. แล็กโทบาซิลลัส ซาลิวาเรียส (Lactobacillus salivarius)
8. แล็กโทบาซิลลัส ซีอี (Lactobacillus zeae)

ตัวอย่างอาหารเสริมที่ผลิตจากโพรไบโอติก Lactobacillus spp.

Bomi 16.8 Balance Probiotics อาหารเสริมโพรไบโอติกที่ใส่มาถึง 8 สายพันธุ์ รวม 16 พันล้านตัว โดยใช้เทคโนโลยีเคลือบแบคทีเรียถึง 4 ขั้น เพื่อไม่ให้แบคทีเรียถูกทำลาย โดยกรดในกระเพาะอาหารก่อนเดินทางถึงลำไส้  โดยมีโพรไบโอติกสายพันธุ์ Lactobacillus spp. ตัว Lactobacillus acidophilus, Lactobacillus rhamnosus และ Lactobacillus reuteri ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ลดอาการท้องผูก ช่วยลดสิวอักเสบรวมถึงผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

2. Bifidobacterium spp. (บิฟิโดแบคทีเรียม)

Bifidobacterium spp. เป็นกลุ่มแบคทีเรียแกรมบวกที่มีบทบาทสำคัญในอาหารเสริมและสุขภาพทางเดินอาหาร โดยมีคุณสมบัติเด่น กลไกการออกฤทธิ์ และข้อดี-ข้อเสียดังนี้:
คุณสมบัติเด่นของ Bifidobacterium spp.
1. การผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFAs): เช่น อะซิเตทและบิวเทรต ซึ่งช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ สนับสนุนสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด และลดการอักเสบ
2. การย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร: Bifidobacterium spp. มีความสามารถในการย่อยคาร์โบไฮเดรตที่ซับซ้อน เช่น ฟรุคโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ และช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน K, วิตามิน D, แคลเซียม และเหล็ก
3. การสร้างสารต้านจุลชีพ: ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น Salmonella และ E. coli ผ่านกลไกการแข่งขันและการผลิตกรดอินทรีย์

ตัวอย่างสายพันธุ์และประโยชน์
1. Bifidobacterium bifidum
จุดเด่น: ช่วยป้องกันการติดเชื้อในลำไส้และลดความเสี่ยงโรคลำไส้อักเสบ
ข้อดี: เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการท้องเสียจากยาปฏิชีวนะ และช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
ข้อเสีย: ต้องเก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อรักษาความมีชีวิต
2. Bifidobacterium longum
จุดเด่น: ลดการอักเสบในลำไส้และช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร
ข้อดี: บรรเทาอาการ IBS (โรคลำไส้แปรปรวน) และช่วยลดอาการท้องผูก
ข้อเสีย: ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันตามบุคคล
3. Bifidobacterium breve
จุดเด่น: ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารและลดอาการอักเสบ
ข้อดี: ช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบ ลดอาการท้องเสียในเด็ก และส่งเสริมสุขภาพผิว
ข้อเสีย: ต้องบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน

กลไกการออกฤทธิ์ในร่างกาย
1. ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiota):
เพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดีและลดแบคทีเรียก่อโรคผ่านการแข่งขันและการผลิตกรดอินทรีย์
2. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน (Immune Modulation):
กระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น regulatory T cells และ macrophages เพื่อควบคุมการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกัน
3. ผลิตวิตามินและสารอาหารสำคัญ:
สร้างวิตามิน B เช่น B2, B6, B9 (โฟเลต) และ B12 ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย
4. ป้องกันการติดเชื้อ (Pathogen Exclusion):
ยับยั้งเชื้อโรคผ่านกลไกการแข่งขันและลดความสามารถในการเกาะติดของเชื้อโรคบนเยื่อบุลำไส้

เหมาะกับอาหารเสริมแบบไหน
1. ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพลำไส้: ลดอาการลำไส้แปรปรวน (IBS): B. animalis ช่วยลดอาการท้องผูกและแก๊ส
ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร: ผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) ที่ยับยั้งเชื้อโรค เช่น Salmonella และ E. coli
2. ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน: B. longum กระตุ้นการผลิต IgA และเซลล์ภูมิคุ้มกัน (T-cells, macrophages)
ลดการอักเสบในโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)
3. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนัง: Bifidobacterium adolescentis สามารถปรับการทำงานของไทโรซิเนสผ่านฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลให้ปริมาณเมลานินลดลงและทำให้ผิวดูขาวขึ้นได้ (อ้างอิง)
4. ผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนักและเมตาบอลิซึม: B. adolescentis ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและไขมันสะสมผ่านการผลิต SCFAs

ข้อควรระวังในการผลิต
1. การเลือกสายพันธุ์
- ต้องเลือกสายพันธุ์ที่ผ่านการรับรองความปลอดภัย (เช่น GRAS หรือ QPS) และมีงานวิจัยสนับสนุนประสิทธิภาพ
2. การควบคุมกระบวนการผลิต
- การหมัก: ควบคุมอุณหภูมิ (37°C) และค่า pH (5.8-6.0) เพื่อให้ได้เซลล์ที่มีชีวิตสูงสุด4
- การทำให้แห้ง: ใช้เทคโนโลยี Freeze-Drying พร้อมสารปกป้อง (เช่น มัลโตเดกซ์ทริน) เพื่อรักษาความมีชีวิต
- การป้องกันการปนเปื้อน: ตรวจสอบเชื้อก่อโรค (Salmonella, E. coli) ตามมาตรฐาน GMP
3. การรักษาความมีชีวิต
- ต้องมีจำนวนเซลล์ ≥ 106 CFU/หน่วยบริโภคเมื่อสิ้นอายุการเก็บ
- ใช้สารพรีไบโอติก (เช่น อินูลิน) เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในลำไส้
4. การเก็บรักษา
- เก็บที่อุณหภูมิต่ำ (2-8°C) สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการเคลือบป้องกันความชื้น
- หลีกเลี่ยงแสงและออกซิเจนซึ่งลดประสิทธิภาพของแบคทีเรีย
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- กลุ่มเสี่ยง: ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เนื่องจากอาจเสี่ยงติดเชื้อ
- ปฏิกิริยากับยาปฏิชีวนะ: บางสายพันธุ์อาจถูกทำลาย ควรเว้นระยะห่างการรับประทาน 2-3 ชั่วโมง
- ผลข้างเคียง: อาจทำให้เกิดแก๊สหรือท้องอืดในระยะเริ่มต้น

สายพันธุ์ Bifidobacterium spp. ที่สามารถใช้ได้ในไทย
- บิฟิ โดแบคทีเรียม อะโดเลสเซนทิส (Bifidibacterium adolescentis)
- บิฟิ โดแบคทีเรียม อะนิมอลิส (Bifidobacterium animalis)
- บิฟิ โดแบคทีเรียม บิฟิ ดัม (Bifidobacterium bifidum)
- บิฟิ โดแบคทีเรียม เบรเว (Bifidobacterium breve)
- บิฟิ โดแบคทีเรียม อินฟานทิส (Bifidobacterium infantis)
- บิฟิ โดแบคทีเรียม แล็กทิส (Bifidobacterium lactis)
- บิฟิ โดแบคทีเรียม ลองกัม (Bifidobacterium longum)
- บิฟิ โดแบคทีเรียม ซูโดลองกัม (Bifidobacterium pseudolongum)

ตัวอย่างอาหารเสริมโพรไบโอติกที่ใช้สายพันธุ์ Bifidobacterium spp.

Swisse ultibiotic daily active probiotics มาในรูปแบบแคปซูลที่ภายในบรรจุโพรไบโอติก 3 สายพันธุ์ จำนวน 35,000 ล้านตัว ใน 1 แคปซูล ช่วยเพิ่มสมดุลของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในทางเดินอาหาร ลดอาการไม่สบายท้องจากแก๊ส และอาการพะอืดพะอม และมีส่วนช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในช่องคลอด มีโพรไบโอติก Bifidobacterium lactis HN019,  Bifidobacterium lactis Bl-04

3. Saccharomyces boulardii (แซคคาโรไมซีส โบลาร์ดี)

Saccharomyces boulardii เป็นยีสต์โพรไบโอติกที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน คุณสมบัติ กลไกการออกฤทธิ์ และข้อดี-ข้อเสียของ S. boulardii ดังนี้:
คุณสมบัติเด่นของ Saccharomyces boulardii
1. ความทนทานต่อสภาวะในระบบทางเดินอาหาร:
ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร น้ำดี และเอนไซม์ย่อยอาหาร ทำให้สามารถเดินทางไปถึงลำไส้ได้โดยไม่ถูกทำลาย
ไม่ถูกรบกวนจากการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งแตกต่างจากแบคทีเรียโพรไบโอติกทั่วไป
2.กลไกการต้านเชื้อโรค:
ยับยั้งการเกาะติดของเชื้อโรค เช่น Clostridium difficile, Salmonella Typhimurium และ Escherichia coli บนผนังลำไส้
ผลิตเอนไซม์ที่สามารถย่อยสลายสารพิษจากแบคทีเรีย เช่น โปรตีเอสที่ย่อยสลายสารพิษของ C. difficile
3. กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน:
กระตุ้นการผลิตแอนติบอดี IgA ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในเยื่อบุลำไส้
ลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น cytokines
4. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้:
เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น Bifidobacteria และ Lactobacilli ในลำไส้
ส่งเสริมการผลิตเอนไซม์ย่อยอาหาร เช่น แลคเตส ซูเครส และมอลเตส ช่วยเพิ่มการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตและน้ำในลำไส้

ประโยชน์ของ Saccharomyces boulardii
1. รักษาและป้องกันอาการท้องเสีย:
- ลดอาการท้องเสียจากยาปฏิชีวนะ (Antibiotic-Associated Diarrhea, AAD)
- บรรเทาอาการท้องเสียจากเชื้อโรค เช่น โรตาไวรัสในเด็ก และ Clostridium difficile
- ป้องกันอาการท้องเสียจากการเดินทาง (Traveler's Diarrhea)
2. ลดความเสี่ยงของโรคลำไส้อักเสบ:
- บรรเทาอาการของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น Crohn's disease และ Irritable Bowel Syndrome (IBS)
3. ดูแลสุขภาพระบบภูมิคุ้มกัน:
- ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อรา Candida albicans โดยผลิตกรดไขมันที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
4. ดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด:
- มีงานวิจัยแสดงว่า S. boulardii อาจช่วยปรับปรุงตัวชี้วัดสุขภาพหัวใจในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว

กลไกการออกฤทธิ์ในร่างกาย
1. การต้านกับเชื้อโรค (Competitive Exclusion): ช่วยต้านเชื้อโรคเพื่อแย่งสารอาหารและพื้นที่เกาะติดในลำไส้
2. กำจัดสารพิษ: ย่อยสลายสารพิษจากแบคทีเรีย เช่น สารพิษจาก C. difficile และลดผลกระทบต่อเยื่อบุลำไส้
3. กระตุ้นเอนไซม์และสารสำคัญ: กระตุ้นการผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารและกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) ช่วยเพิ่มการดูดซึมน้ำและอิเล็กโทรไลต์ในลำไส้
4. ลดการอักเสบ: ยับยั้งการแสดงออกของไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น TNF-α
ข้อดี
ทนต่อกรด น้ำดี และยาปฏิชีวนะ ทำให้เหมาะสำหรับใช้ร่วมกับยาอื่นๆ
มีประสิทธิภาพในการป้องกันและรักษาโรคทางเดินอาหารหลากหลายชนิด.
สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของภาวะอักเสบเรื้อรัง
ข้อเสีย
อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ป่วยหนัก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อราในกระแสเลือด (fungemia)
ผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ท้องอืดหรือแก๊ส อาจเกิดขึ้นในช่วงแรกของการบริโภค.

เหมาะกับสูตรอาหารเสริมแบบไหน
1. ผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพทางเดินอาหาร:
- เหมาะสำหรับการป้องกันและรักษาอาการท้องเสีย เช่น ท้องเสียจากยาปฏิชีวนะ (Antibiotic-Associated Diarrhea), ท้องเสียจากการเดินทาง (Traveler’s Diarrhea) และท้องเสียในเด็กจากเชื้อโรตาไวรัส.
- ใช้ในผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบ เช่น Crohn's disease และ Ulcerative Colitis เพื่อช่วยลดการอักเสบและเพิ่มความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้
2. ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน:
- S. boulardii กระตุ้นการผลิต Immunoglobulin A (IgA) ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันในระบบลำไส้ เช่น ผู้ที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวน (IBS)
3. ผลิตภัณฑ์ลดผลข้างเคียงจากการรักษาโรค:
- ลดผลข้างเคียงจากการรักษา Helicobacter pylori และช่วยป้องกันการกลับมาของเชื้อ Clostridium difficile

ข้อควรระวังในการผลิต
1. การเลือกสายพันธุ์
- เลือกสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรอง เช่น S. boulardii CNCM I-745 ซึ่งมีหลักฐานทางคลินิกรองรับด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
- ต้องมั่นใจว่าสายพันธุ์มีความสามารถในการทนต่อกรดในกระเพาะอาหารและเอนไซม์ย่อยอาหาร เพื่อให้ไปถึงลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. กระบวนการผลิต
- ใช้เทคโนโลยี Freeze-Drying (Lyophilization) เพื่อรักษาความมีชีวิตของเซลล์ยีสต์ระหว่างกระบวนการผลิตและเก็บรักษา
- หลีกเลี่ยงกระบวนการผลิตที่ใช้ความร้อนสูง เนื่องจากอาจลดความมีชีวิตของเซลล์
- ควบคุมความสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน โดยเฉพาะในขั้นตอนบรรจุภัณฑ์ เนื่องจาก S. boulardii มีความเสี่ยงต่อการฟุ้งกระจายในอากาศ
3. การเก็บรักษา
- เก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันความชื้นและแสง เพื่อรักษาความมีชีวิตของเซลล์
- ผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจต้องเก็บในอุณหภูมิห้องหรือแช่เย็น ขึ้นอยู่กับวิธีการผลิต
4. การตรวจสอบคุณภาพ
- ระบุจำนวนเซลล์ที่มีชีวิต (CFU) บนฉลาก และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ยังคงมีจำนวนเซลล์ตามที่ระบุไว้จนถึงวันหมดอายุ
- ทดสอบความปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อปนเปื้อน เช่น เชื้อราอื่นๆ หรือแบคทีเรียก่อโรค

ข้อควรระวัง
1. กลุ่มผู้บริโภคเสี่ยง: 
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วย HIV หรือผู้รับเคมีบำบัด) อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อราในกระแสเลือด (fungemia) จาก S. boulardii
- ผู้ที่แพ้ยีสต์ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้ได้
2. ผลข้างเคียง:
- อาจทำให้เกิดแก๊สหรือท้องอืดในบางกรณี โดยเฉพาะช่วงแรกของการบริโภค.
- หลีกเลี่ยงการใช้ในเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
3. ข้อจำกัดในการใช้ร่วมกับยา:
- ควรเว้นระยะห่างจากยาปฏิชีวนะ 2-3 ชั่วโมงเพื่อป้องกันผลกระทบต่อประสิทธิภาพของโพรไบโอติก

สายพันธุ์ Saccharomyces  ที่สามารถใช้ได้ในไทย
- แซ็กคาโรไมซีส เซรีวิซิอีสับสปี ชีย์ บัวลาดิอิ (Saccharomyces cerevisiae subsp. Boulardii)

ตัวอย่างอาหารเสริมที่ใช้ Saccharomyces boulardii

Lake Avenue Nutrition อาหารเสริมโพรไบโอติกสายพันธุ์ Saccharomyces boulardii 10 พันล้าน CFU บรรจุแคปซูลผัก ช่วยยับยั้งสารพิษจากแบคทีเรียทำให้ลดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ดักจับเชื้อโรคในลำไส้ ลดอาการถ่ายเป็นมูกเลือด ช่วยระบบย่อยอาหาร ดูแลสุขภาพของลำไส้ใหญ่และช่วยรักษาแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร

4. Bacillus coagulans (บาซิลัส โคแอกกูแลน)

Bacillus coagulans เป็นแบคทีเรียโพรไบโอติกที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีความสามารถในการสร้างสปอร์ ทำให้ทนต่อสภาวะที่รุนแรง เช่น ความร้อนและกรดในกระเพาะอาหาร
คุณสมบัติเด่นของ Bacillus coagulans
1. การสร้างสปอร์ (Spore Formation):
- สปอร์ช่วยให้ B. coagulans ทนต่อความร้อน กรด และการแปรรูปอาหาร ทำให้เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต
- สปอร์สามารถงอกใหม่ในลำไส้หลังผ่านกระเพาะอาหาร ทำให้แบคทีเรียมีชีวิตและออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การผลิตกรดแลคติก:
- B. coagulans เป็นแบคทีเรียผลิตกรดแลคติก ซึ่งช่วยลดค่า pH ในลำไส้ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดดี และยับยั้งเชื้อโรค
3. ความสามารถในการย่อยอาหาร:
- ผลิตเอนไซม์ เช่น โปรตีเอสและอะไมเลส ที่ช่วยย่อยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต เพิ่มการดูดซึมสารอาหารในลำไส้
4. ทนต่อกรดและน้ำดี:
- สามารถผ่านกระเพาะอาหารและน้ำดีได้โดยไม่ถูกทำลาย ทำให้ไปถึงลำไส้เพื่อออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของ Bacillus coagulans 
1. สุขภาพทางเดินอาหาร:
- ลดอาการท้องเสียจากยาปฏิชีวนะ โรตาไวรัส และ Clostridium difficile
- บรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) เช่น อาการปวดท้อง ท้องอืด และแก๊ส
- ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้และลดอาการท้องผูก
2. เสริมภูมิคุ้มกัน:
- กระตุ้นการผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น T- และ B-lymphocytes ช่วยลดการอักเสบและเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค
3. เพิ่มการดูดซึมโปรตีน:
- ช่วยเพิ่มการดูดซึมโปรตีนในเลือดเมื่อบริโภคร่วมกับโปรตีนเสริม เช่น เวย์โปรตีน
4. ลดการอักเสบ:
- มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น Crohn's disease และโรคข้ออักเสบ 

กลไกการออกฤทธิ์ในร่างกาย
1. การกำจัดกับเชื้อโรค (Competitive Exclusion):แข่งขันกับเชื้อโรคเพื่อแย่งชิงพื้นที่เกาะติดและสารอาหารในลำไส้
2. ผลิตสารต้านจุลชีพ (Antimicrobial Substances): ผลิตแบคทีริโอซิน เช่น coagulin ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคหลากหลายชนิด
3. ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiota Modulation): ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดดี เช่น Lactobacillus และ Bifidobacterium
4.ลดค่า pH ในลำไส้: การผลิตกรดแลคติกช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับจุลินทรีย์ชนิดดีและไม่เหมาะสำหรับเชื้อโรค
ข้อดี
ทนต่อความร้อน กรด และกระบวนการแปรรูปอาหาร ทำให้เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม.
มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการทางเดินอาหาร เช่น IBS, ท้องเสีย และท้องผูก
ปลอดภัยสำหรับการบริโภคระยะยาว โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงเมื่อใช้ตามคำแนะนำ
ข้อเสีย
ไม่สามารถเกาะติดเยื่อบุลำไส้ได้อย่างถาวร จำเป็นต้องบริโภคอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาประสิทธิภาพ
อาจทำให้เกิดแก๊สหรือท้องอืดในช่วงแรกของการบริโภค โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบทางเดินอาหารไวต่อสิ่งกระตุ้น

เหมาะกับอาหารเสริมแบบไหน 
1. ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทางเดินอาหาร:
- Bacillus coagulans ช่วยลดอาการท้องเสีย เช่น ท้องเสียจากยาปฏิชีวนะ (Antibiotic-Associated Diarrhea) และท้องเสียจากการเดินทาง (Traveler's Diarrhea)
- บรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) เช่น อาการปวดท้อง ท้องอืด และแก๊ส
- ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีและลดแบคทีเรียก่อโรค
2. ผลิตภัณฑ์เสริมโปรตีนและการดูดซึมสารอาหาร:
- B. coagulans ช่วยเพิ่มการดูดซึมโปรตีนและกรดอะมิโนในเลือดเมื่อบริโภคร่วมกับโปรตีนเสริม เช่น เวย์โปรตีน
- ส่งเสริมการผลิตเอนไซม์ย่อยอาหาร เช่น โปรตีเอสและอะไมเลส ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
3. ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน:
- กระตุ้นการสร้างเซลล์ T และลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร
- ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ เช่น Clostridium difficile และเชื้อโรคอื่นๆ ในลำไส้
4. ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหารเรื้อรัง:
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) เช่น Crohn's disease และ Ulcerative colitis

ข้อควรระวังในการผลิต
1. การเลือกสายพันธุ์
- เลือกสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย เช่น GRAS (Generally Recognized As Safe) หรือ QPS (Qualified Presumption of Safety)
- ตัวอย่างสายพันธุ์ที่นิยม: B. coagulans GBI-30, 6086 มีประสิทธิภาพในการปรับสมดุลจุลินทรีย์และเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร
2. กระบวนการผลิต
- ใช้เทคโนโลยี Spray Drying หรือ Freeze-Drying เพื่อรักษาความมีชีวิตของสปอร์แบคทีเรีย
- ควบคุมความสะอาดในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะในกระบวนการหมักและบรรจุภัณฑ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนจากเชื้อโรคอื่นๆ
- ควบคุมค่า pH ให้อยู่ในช่วง 5.8-6.5 และอุณหภูมิประมาณ 37°C เพื่อให้แบคทีเรียสร้างสปอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การรักษาความมีชีวิตของแบคทีเรีย
- ระบุจำนวนเซลล์ที่มีชีวิตขั้นต่ำ (CFU) บนฉลาก โดยทั่วไป ≥ 106 CFU/หน่วยบริโภค
- ใช้สารพรีไบโอติก เช่น อินูลิน เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้
4. การเก็บรักษา
- เก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันความชื้นและแสง เพื่อรักษาความมีชีวิตของแบคทีเรีย
- ผลิตภัณฑ์บางชนิดสามารถเก็บในอุณหภูมิห้องได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงความร้อนสูง

ข้อควรระวัง
1. กลุ่มผู้บริโภคเสี่ยง:
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วย HIV หรือผู้รับเคมีบำบัด) อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แม้ว่าความเสี่ยงจะต่ำมาก
- ไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก (0-36 เดือน) เนื่องจากระบบทางเดินอาหารยังพัฒนาไม่เต็มที่
2. ผลข้างเคียง:
- อาจทำให้เกิดแก๊สหรือท้องอืดในบางกรณี โดยเฉพาะช่วงแรกของการบริโภค
- หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
3. ข้อจำกัดในการใช้ร่วมกับอาหารประเภทอื่น:
- ไม่ควรใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กหรือเนื้อสัตว์ เนื่องจากอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ USDA หรือ FDA ที่แตกต่างกัน

สายพันธุ์ Bacillus coagulans ที่สามารถใช้ได้ในไทย
- บาซิลลัส โคแอกกูแลน (Bacillus coagulans) สามารถใช้ได้ในประเทศไทย

ตัวอย่างอาหารเสริมที่มี Bacillus coagulans

Swanson Bacillus Coagulans อาหารเสริมโปรไบโอติกจากธรรมชาติสายพันธุ์ Bacillus coagulans(Lactobacillus Sporogenes) ที่ช่วยดูแลสุขภาพระบบย่อยอาหารด้วยปริมาณ 6 พันล้าน CFU บรรจุด้วยแคปซูลผัก ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีและลดแบคทีเรียก่อโรค

5. Streptococcus thermophilus (สเตรปโคค็อกคัส เทอร์โมฟิลัส)

Streptococcus thermophilus เป็นแบคทีเรียโพรไบโอติกชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและสุขภาพทางเดินอาหาร โดยมีคุณสมบัติเด่นในด้านการย่อยแลคโตส เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดอาการของปัญหาทางเดินอาหาร 
คุณสมบัติเด่นของ Streptococcus thermophilus
1. การผลิตกรดแลคติก: S. thermophilus สามารถเปลี่ยนน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติก ซึ่งช่วยลดอาการไม่สบายจากการแพ้แลคโตส เช่น ท้องอืดและแก๊ส
2. ทนต่อสภาวะในระบบทางเดินอาหาร: มีความสามารถในการอยู่รอดในกรดกระเพาะอาหารและน้ำดี ทำให้สามารถไปถึงลำไส้และออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดดี: ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียโพรไบโอติกอื่นๆ เช่น Lactobacillus และ Bifidobacterium ทำให้ระบบนิเวศจุลินทรีย์ในลำไส้สมดุลมากขึ้น
4. การผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFAs): ผลิตสารที่มีประโยชน์ต่อเยื่อบุลำไส้ เช่น บิวเทรต ซึ่งช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้

ประโยชน์ของ Streptococcus thermophilus
1. ปรับปรุงสุขภาพทางเดินอาหาร:
- ลดอาการท้องเสียจากยาปฏิชีวนะ (Antibiotic-Associated Diarrhea) และโรคเกี่ยวกับลำไส้ เช่น IBS (Irritable Bowel Syndrome)
- บรรเทาอาการท้องผูกและช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ
2. ลดอาการแพ้แลคโตส:
- ช่วยย่อยแลคโตสในผู้ที่ขาดเอนไซม์แลคเตส ลดอาการไม่พึงประสงค์จากการบริโภคนม
3. เสริมภูมิคุ้มกัน:
- กระตุ้นการผลิตแอนติบอดี IgA ในเยื่อบุลำไส้ ช่วยเพิ่มความสามารถในการป้องกันเชื้อโรค
4. ลดการอักเสบ:
- มีคุณสมบัติในการลดไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น TNF-α และ IL-6 ซึ่งช่วยบรรเทาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)
5. ส่งเสริมสุขภาพเมตาบอลิซึม:
- มีผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก ระดับไขมันในเลือด และระดับน้ำตาลในผู้ที่มีปัญหาเมตาบอลิซึม

กลไกการออกฤทธิ์ในร่างกาย
1. ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiota Modulation):
- เพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดีและลดแบคทีเรียก่อโรค เช่น Bilophila wadsworthia ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคลำไส้อักเสบ
2. ผลิตสารต้านจุลชีพ (Antimicrobial Substances):
- การผลิตกรดแลคติกช่วยลดค่า pH ในลำไส้ ทำให้ไม่เหมาะสำหรับเชื้อโรค
3. กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน (Immune Modulation):
- กระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น T-cells และเพิ่มแอนติบอดี IgA เพื่อต้านเชื้อโรค
4. ส่งเสริมสุขภาพเยื่อบุลำไส้ (Gut Barrier Integrity):
- ผลิต SCFAs เช่น บิวเทรต ซึ่งช่วยซ่อมแซมเยื่อบุลำไส้และลดภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut)
ข้อดี
- ปลอดภัย ได้รับสถานะ GRAS (Generally Recognized as Safe) จาก FDA และ QPS จาก EFSA
- เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้น้ำตาลแลคโตสหรือมีปัญหาทางเดินอาหาร
- ใช้ร่วมกับโพรไบโอติกสายพันธุ์อื่นเพื่อเสริมประสิทธิภาพได้ดี
ข้อเสีย
- ต้องบริโภคร่วมกับใยอาหาร (Prebiotics) เพื่อช่วยการเจริญเติบโต
- อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เนื่องจากยังมีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว

เหมาะกับอาหารเสริมแบบไหน
1. ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทางเดินอาหาร:
- S. thermophilus ช่วยลดอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) เช่น ท้องเสียและท้องผูก
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการย่อยแลคโตส เนื่องจากสามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสและลดอาการไม่สบายจากการแพ้แลคโตส
2. ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน:
- กระตุ้นการสร้าง Immunoglobulin A (IgA) และช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้หลังการใช้ยาปฏิชีวนะ
3. ผลิตภัณฑ์สำหรับลดการอักเสบเรื้อรัง:
- S. thermophilus ผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) เช่น บิวเทรต ซึ่งช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพเยื่อบุลำไส้
4. ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวหนัง
- สายพันธุ์ Streptococcus thermophilus ช่วยเสริมการสร้างเซราไมด์ และเซราไมด์สฟิงโกลิพิดบางชนิด รวมถึงสฟิงโกไมอีลินที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ผ่านการสร้างเซราไมด์ ดังนั้นโพรไบโอติกจึงถูกนำมาใช้เพื่อเสริมเกราะป้องกันผิวหนัง (อ้างอิง)

ข้อควรระวังในการผลิต
1. การเลือกสายพันธุ์
- เลือกสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย เช่น GRAS (Generally Recognized As Safe) จาก FDA หรือ QPS (Qualified Presumption of Safety) จาก EFSA
- ตัวอย่างสายพันธุ์ที่ปลอดภัย: S. thermophilus IDCC 2201 ซึ่งไม่มีความสามารถในการสร้างสารพิษหรือยีนดื้อยาปฏิชีวนะ
2. กระบวนการผลิต
- การหมัก: ควบคุมค่า pH ให้อยู่ในช่วง 6.25 และอุณหภูมิประมาณ 42°C เพื่อให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การทำให้แห้ง: ใช้เทคโนโลยี Freeze-Drying หรือ Spray Drying เพื่อรักษาความมีชีวิตของเซลล์.
- การป้องกันการปนเปื้อน: ตรวจสอบเชื้อก่อโรค เช่น Staphylococcus aureus และเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ ตามมาตรฐาน GMP และ HACCP
3. การรักษาความมีชีวิตของแบคทีเรีย
- ระบุจำนวนเซลล์ที่มีชีวิตขั้นต่ำ (CFU) บนฉลาก โดยทั่วไป 106 CFU/หน่วยบริโภค.
- ใช้สารพรีไบโอติก เช่น อินูลิน เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้
4. การเก็บรักษา
- เก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันความชื้นและแสง เพื่อรักษาความมีชีวิตของแบคทีเรีย
- ผลิตภัณฑ์บางชนิดสามารถเก็บในอุณหภูมิห้องได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงความร้อนสูงหรือความชื้นมากเกินไป.
ข้อควรระวัง
1. กลุ่มผู้บริโภคเสี่ยง:
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วย HIV หรือผู้รับเคมีบำบัด) อาจต้องระวังเนื่องจากยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเกี่ยวกับผลกระทบต่อกลุ่มนี้
- เด็กเล็ก (0-36 เดือน) อาจต้องหลีกเลี่ยง เนื่องจากระบบทางเดินอาหารยังพัฒนาไม่เต็มที่
2. ผลข้างเคียง:
- อาจทำให้เกิดแก๊สหรือท้องอืดในบางกรณี โดยเฉพาะช่วงแรกของการบริโภค
- หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- ข้อจำกัดในการใช้ร่วมกับอาหารประเภทอื่น:
- ไม่ควรใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กหรือเนื้อสัตว์ เนื่องจากอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ USDA หรือ FDA ที่แตกต่างกัน

สายพันธุ์ Streptococcus thermophilus ที่สามารถใช้ได้ในไทย
- แซ็กคาโรไมซีส เซรีวิซิอีสับสปี ชีย์ บัวลาดิอิ (Saccharomyces cerevisiae subsp. Boulardii)

ตัวอย่างอาหารเสริมที่มี Streptococcus thermophilus

Now Food Probiotic-10 อาหารเสริมโพรไบโอติกที่มีทั้งหมด 100 พันล้านตัว ประกอบด้วยแบคทีเรียโปรไบโอติกที่ทนต่อกรด รวมถึงสายพันธุ์ Streptococcus thermophilus  มีความสำคัญต่อระบบย่อยอาหารที่ ดีต่อสุขภาพ ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของเยื่อบุลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้อย่างเหมาะสม และมีส่วนร่วมในกระบวนการกำจัดสารพิษ ช่วยฟื้นฟูจุลินทรีย์ที่มีสุขภาพดีหลังจากภาวะลำไส้เสียสมดุลชั่วคราว

ผู้ประกอบการสามารถหาโพรไบโอติกแต่ละสายพันธุ์ ได้ที่

1. บริษัท เค.เอ็ม.พี. ไบโอเทค จำกัด (K.M.P. Biotech Co., Ltd.)
- ผลิตและจำหน่ายผงโพรไบโอติกหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งในประเทศและส่งออกกว่า 13 ประเทศทั่วโลก
- มุ่งเน้นการพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทยเพื่อลดต้นทุนการนำเข้า และมีมาตรฐานระดับสากล
2. บริษัท ทินกร เคมีคอล แอนด์ ซัพพลาย จำกัด (Tinnakorn Chemical & Supply)
- เป็นตัวแทนจำหน่ายโพรไบโอติกจาก Sacco System ประเทศอิตาลี ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์คุณภาพสูง
- มีสายพันธุ์ที่ผ่านการวิจัยในมนุษย์ พร้อมสามารถเคลมประโยชน์เฉพาะด้าน เช่น การปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้
3. บริษัท วิโนน่า เฟมินิน จำกัด (Winona Feminine Co., Ltd.)
- พัฒนาโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและศูนย์พันธุวิศวกรรมแห่งชาติ สวทช.
- ผลิตภัณฑ์ได้รับการทดสอบประสิทธิภาพในคนไทย และพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์
4. บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (DOD Biotech Public Co., Ltd.)
- โรงงานผลิตอาหารเสริมครบวงจร รวมถึงโพรไบโอติก โดยใช้มาตรฐานระดับเดียวกับการผลิตยา
- ให้บริการ OEM สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตนเอง
5. บริษัท iBio Co., Ltd.
- รับผลิตเครื่องดื่มโปรไบโอติกหลากหลายรูปแบบ เช่น แบบผง แบบเม็ด และแบบน้ำ พร้อมบริการครบวงจรตั้งแต่พัฒนาสูตรจนถึงการตลาด
- โรงงานได้รับมาตรฐานระดับสากลและมีประสบการณ์มากกว่า 50 ปี
6. บริษัท ออล อะเบ๊าท์ เอ็กซ์แทรกท์ จำกัด (All About Extract Co., Ltd.)
- พัฒนาโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยคุณภาพสูงเพื่อแข่งขันในตลาดโลก โดยได้รับการส่งเสริมจาก BOI5.
- มีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเสริม
7.  บริษัท Sacco System
- บริษัทจากอิตาลีที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและวิจัยจุลินทรีย์ รวมถึงโพรไบโอติก
- ผลิตภัณฑ์เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหารเสริมและเภสัชกรรมทั่วโลก
8. บริษัท นูทริแมกซ์ อินโนเวชั่น จำกัด (Nutrimax Innovation)
- ให้บริการรับผลิตอาหารเสริมโพรไบโอติกในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แคปซูล ซอฟท์เจล เจลลี่ ผงกรอกปาก และเครื่องดื่มชงดื่ม
- มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญช่วยพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์และออกแบบบรรจุภัณฑ์
- ได้รับมาตรฐานระดับสากล เช่น GHPs, HACCP และ ISO 9001:2015

ซึ่งข้อกำหนดของโพรไบโอติกที่รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก่อนว่ามีปริมาณโพรไบโอติกที่ยังมีชีวิตอยู่คงเหลืออยู่ต้องไม่น้อยกว่า 106  CFU ต่ออาหาร 1 กรัม ตลอดอายุการเก็บรักษาของอาหารนั้น กรณีที่มีการใช้โพรไบโอติกมากกว่าหนึ่งชนิด ต้องมีปริมาณคงเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 106 CFU ต่ออาหาร 1 กรัม ตลอดอายุการเก็บรักษาของอาหารนั้นด้วย และต้องใช้สายพันธุ์ของโพรไบโอติกตามรายชื่อในบัญชีประกาศของ อย. ผู้ประกอบการสามารถ อ่านข้อมูลเพิ่มเติม โพรไบโอติก ที่ อย. ไทย อนุญาตใช้พร้อมขั้นตอนการขอใช้โพรไบโอติกตัวใหม่ คลิ๊ก!

ทางทีมกูรูเช็คก็หวังว่าข้อมูลที่ทีมรวบรวมมาในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณๆทุกคนที่ต้องการสร้างแบรนด์และผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสินค้าของตัวเอง และใครที่สนใจ Consult สร้างแบรนด์ ฟรี!! ก็สามารถ แอด LINE : @gurucheckacademy หรือคลิ๊กที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://line.me/R/ti/p/@gurucheckacademy

เขียนโดย : กูรูเช็ค

Views

1998

“ เราเชื่อว่าข้อมูลทางวิชาการเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คนกูรูเช็คขอเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลสุขภาพและความงามตามหลักการแพทย์ที่ได้รับการวิจัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นค่ะ “